- หน้าแรก
- เอกสารเผยแพร่
- บทความที่น่าสนใจ
- พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการพัฒนาประเทศ
พระราชดำริระยะแรก : การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๕)
พระราชดำริเริ่มแรก จึงเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ราษฎรประสบอยู่ ได้แก่ การช่วยเหลือด้านการแพทย์ สาธารณสุข และการสังคมสงเคราะห์ เพราะทรงเห็นว่าการพัฒนาสุขภาพพลานามัยของประชาชนให้พ้นจากความเจ็บป่วย ย่อมนำไปสู่การพัฒนาในทุกๆ ด้าน
พระราชดำริระยะที่สอง : พัฒนาประเทศให้พออยู่พอกิน (พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๕๒๐)
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกภูมิภาคของประเทศ ด้วยมีพระราชประสงค์ที่จะรับทราบถึงปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนและความต้องการของราษฎร ที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ทรงพบว่า ปัญหาที่ราษฎรประสบอยู่ตลอดมา คือ ความยากจน การเป็นหนี้สินที่เกิดจากกู้ยืมมาทำไร่ ทำนา แต่ต้องประสบความขาดทุน เพราะสภาพดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย ฝนไม่ตกตามฤดูกาล เกิดอุทกภัยน้ำท่วมไร่นา พืชผลเสียหาย ผลผลิตขายไม่ได้ และยังถูกกดราคาจากตลาดและพ่อค้าคนกลาง นับเป็นวงจรแห่งความทุกข์ยากที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทรงซักถามเรื่องราวต่างๆ ในทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปยังพื้นที่ชนบท ทำให้ทรงรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากราษฎรเอง และจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งทรงสังเกตสภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมไปพร้อมๆ กัน ได้ทรงรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไว้ เพื่อเป็นแนวทางที่จะพระราชทานพระราชดำริในการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรเหล่านี้ให้ดีขึ้น สามารถพึ่งตนเองได้ ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน
โครงการพระราชดำริในการพัฒนาชนบทโครงการแรก ก็คือ การสร้างถนนเข้าไปยังบ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหินในปี พ.ศ. ๒๔๙๕
จากนั้น ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระราชทานพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน เพื่อบรรเทาความแห้งแล้ง นับเป็นโครงการพระราชดำริด้านการชลประทานแห่งแรกของพระองค์
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีปัญหาความมั่นคงของประเทศ เศรษฐกิจไม่ดี ราษฎรยังยากจนอยู่ ดังนั้น แนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศ เป็นลักษณะภาพรวมของประเทศก่อน แล้วทรงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละด้านอย่างมีความเชื่อมโยงกัน มีลักษณะคล้ายการต่อภาพ Jigsaw กล่าวคือ ทรงช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกลและทุรกันดาร โดยการเข้าไปช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จำเป็นเบื้องต้น เช่น แหล่งน้ำ ถนน ที่ดินทำกิน
พระราชดำริในระยะนี้ จึงเป็นการให้ความช่วยเหลือในลักษณะโครงการพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อให้ราษฎรสามารถพึ่งตนเองได้เป็นสำคัญ ซึ่งโครงการพัฒนาในระยะนี้ มีชื่อที่เรียกแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานพัฒนา คือ โครงการตามพระราชประสงค์ โครงการหลวง โครงการในพระบรมราชานุเคราะห์ และโครงการส่วนพระองค์
เริ่มโดยการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะบริเวณชายแดนของประเทศที่มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ราษฎรลดการอพยพโยกย้าย มีหลักแหล่งที่อยู่อาศัยที่มั่นคง สามารถประกอบอาชีพ ลืมตาอ้าปากได้ ทรงเน้นการพัฒนาการเกษตรด้านต่างๆ เช่น ดิน พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ เป็นต้น ทรงเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมโดยพื้นฐาน กระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าจะต้องพัฒนาด้านการเกษตรให้มีความมั่นคงเข้มแข็งก่อน
จากนั้นเป็นเรื่องของการคมนาคม เพื่อให้ราษฎรเดินทางสะดวกและปลอดภัยขึ้น รวมทั้งการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
ซึ่งทั้งหมดนี้ ต่างสัมพันธ์และเชื่อมโยงถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสิ้น ที่ส่งผลให้ประเทศชาติมีความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ พระราชทานแนวคิด "พออยู่พอกิน" เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ด้วยทรงเห็นว่า แนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชา ชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอ สมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น
ถ้าใช้ภาษาเศรษฐศาสตร์อธิบายความหมายนี้ คือ แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป
พระราชดำริระยะที่สาม : เศรษฐกิจพอเพียง (พ.ศ. ๒๕๒๑ - ปัจจุบัน)
เมื่อทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐ มีแนวโน้มตามกระแสโลกและระบบการค้าเสรีมากขึ้น ผลจากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลง มีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน
สำหรับผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุและสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลาง ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตกสลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่มสูญหายไป
สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี ภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้องการต่างๆ รวมทั้งความสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี
ประเทศไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นระยะๆ และเป็นผลกระทบต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินบาทอ่อนตัว น้ำมันขาดแคลนและมีราคาแพง สินค้าการเกษตรไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี ๒๕๔๐ ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน "เศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อเป็นการเตือนสติประชาชนและรัฐบาล ทรงเห็นว่า เศรษฐกิจพอเพียง สามารถนำไปสู่เป้าหมายของการสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจได้ เช่น โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจึงควรเน้นที่เศรษฐกิจการเกษตร เน้นความมั่นคงทางอาหาร หากมีเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น สงคราม หรือภาวะขาดแคลนทั่วโลก ถึงแม้จะมีเงินทองก็หาซื้ออาหารไม่ได้ ดังนั้น การสร้างความมั่นคงทางอาหาร เป็นการสร้างความมั่นคงให้ระบบเศรษฐกิจได้ เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดความเสี่ยง หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้
ทรงเตือนสติให้ทุกคนตระหนักอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานแล้วว่า การพัฒนาตามแนวทางสายกลางอย่างมีความสมดุลและพัฒนาอย่างมีขั้นตอน มีความพอดี พอประมาณ มีเหตุมีผล และมีภูมิคุ้มกันยามวิกฤต โดยผสมผสานความรู้ด้านต่างๆ รวมทั้งการมีสติ มีคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต และมีความเพียรไม่ย่อท้อต่อปัญหาและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จะเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาประเทศไทย สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ เพราะมีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวไปตามเวลา และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้
เศรษฐกิจพอเพียง สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ทุกสาขา ทุกภาคของเศรษฐกิจ โดยมีหลักการที่คล้ายคลึงกันคือ เน้นการเลือกปฏิบัติอย่างพอประมาณ มีเหตุมีผล และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเองและสังคม
เช่น ผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรม ไม่ควรขยายการลงทุนเพิ่ม หรือเพิ่มการผลิตที่เกินตัว และนำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงที่ต้องพึ่งพิงผู้อื่น หรือภายนอกมากเกินไป จนขาดความสมดุลในระยะยาว แต่ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง อย่างเป็นขั้นตอน มีการกระจายความเสี่ยงและสร้างเครือข่ายธุรกิจ เพื่อร่วมมือกันในกิจกรรมต่างๆ